วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2562

10 อันดับ สายพันธุ์สุนัขยอดฮิตในเมืองไทย

10 อันดับ สายพันธุ์สุนัขยอดฮิตในเมืองไทย


สายพันธุ์ สุนัข ยอดฮิตในไทย

  • ก่อนจะไปทำความรู้จักกับ สุนัข สายพันธุ์ยอดฮิต เพื่อนๆ จะรู้บ้างรึเปล่านะ ว่าแท้จริงแล้วคนไทยส่วนใหญ่ชอบเลี้ยงหมาสายพันธุ์เล็ก จึงทำให้มีน้องหมาสายพันธุ์เล็กติดอันดับอยู่ไม่น้อยเลย ถ้าอยากรู้ว่ามีสายพันธุ์ไหนติดอันดับบ้าง ก็ตามไปดูกันต่อเลยค่ะ

ในโลกของเรานั้นมี สุนัข มากมายหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์ไทย สายพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศ หรือแม้แต่ หมา ที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ และถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังคิดอยู่ว่าจะเลือกสุนัขสายพันธุ์ใดมาเป็นเพื่อนคู่ใจดีล่ะก็ วันนี้ Petcitiz จะพาเพื่อนๆ มารู้จักกับสายพันธุ์สุนัขยอดฮิตติดอันดับของไทยกันค่ะ

01-1

1.ชิวาวา (Chihuahua)

ชิวาวา เป็นน้องสุนัขที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ราวศตวรรษที่ 19 แต่เดิมสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็ก แต่ไม่เล็กเท่าสุนัขพันธุ์ชิวาวาในปัจจุบัน มีความฉลาดและรักเจ้าของมาก ไม่ค่อยส่งเสียงเห่ารบกวน กล้าหาญ ไม่กลัวแม้ต้องต่อสู้กับสุนัขตัวอื่นที่ใหญ่กว่า
รูปร่างลักษณะของชิวาวาที่ดีและสมบูรณ์แบบนั้น จะต้องมีหัวหรือกะโหลกศีรษะกลม หน้าสั้น ส่วนเรื่องลำตัวจะยาวหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละตัว ทั้งนี้ พวกมันจะมีความยาวของขาที่ได้สัดส่วนพอดี เมื่อมองจากลำตัวที่ตัดจากลำคอไปถึงหาง ดูแล้วจะเห็นเป็นทรงสี่เหลี่ยม ส่วนท่าทางการเดินจะเตะขาเหมือนม้า ชิวาวามีอายุเฉลี่ย 13-15 ปี และไม่ค่อยพบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ



 
02-1

2.ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian)

สุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนมีถิ่นกำเนิดที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมนี ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้เป็นสุนัขอารักขา และได้รับการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง มีขนที่ฟู ตากลม มีลักษณะนิสัยเฉลียวฉลาด ร่าเริง ตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ และขี้ประจบ น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.7-2.5 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักน้อยหรือมากกว่านี้ จะถือว่าไม่ได้มาตรฐานของสายพันธุ์
น้องหมาปอมเมอเรเนียนนั้นต้องการการหวีขนอย่างสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้ได้ขนที่หนาสวย ไม่พันกัน สิ่งสำคัญของน้องหมาพันธุ์นี้คือ การดูแลสุขภาพปากและฟันที่ดี เนื่องจากปอมเมอเรเนียนสูญเสียฟันง่ายมาก อันเนื่องมาจากปัญหาฟันผุ หรือสุขภาพเหงือกไม่ดี จึงต้องหมั่นทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ และควรให้อาหารชนิดแห้งเพื่อลดปัญหาในช่องปาก




 
03-1

3.ชิห์สุ (Shih-tzu)

ชิห์สุมีถิ่นกำเนิดจากทิเบต ที่มาของชื่อ ชิห์สุ มาจากภาษาจีน แปลว่า “สุนัขสิงโต” เป็นสุนัขในสามสายพันธุ์ชั้นสูง พวกเดียวกับปักกิ่งและปั๊ก ในสมัยโบราณตามประวัติศาสตร์ของชาวทิเบตถือว่า สิงโต เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนา พระชาวทิเบต (Lama) จึงได้ผสมสุนัขพันธุ์เล็กขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิงโต ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าขนแผงคอของชิห์สุคล้ายกับแผงคอของสิงโต รวมไปถึงท่าทางการเดิน หรือการเคลื่อนไหวที่สง่างาม
ชิห์สุถือเป็นสุนัขขนาดเล็กในกลุ่มทอย (Toy Group) มีน้ำหนักประมาณ 4.5-7.5 กิโลกรัม ส่วนสูงประมาณ 25-27 เซนติเมตร ลักษณะของศีรษะต้องกลมโต สีกลางหน้าผากขาวเด่น ปากสั้น ความยาวของลำตัวมากกว่าความสูงเล็กน้อย กล้ามเนื้อบึกบึน กระชับ และเดินหน้าเชิด การย่างก้าวสง่าผ่าเผย ทั้งนี้ชิห์สุเป็นสุนัขที่มีนิสัยกล้าหาญ ตื่นตัว ขี้ประจบ มีความสง่าอยู่ในตัว อีกทั้งยังเป็นสุนัขที่รักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคน ปรับตัวได้ดี มีอายุค่อนข้างยืน เฉลี่ยอยู่ที่ 10–18 ปี ตามแต่ปัจจัยต่างๆ
โรคที่ควรระวังคือ โรคตาแห้ง โรคหูน้ำหนวกหรือหูอักเสบ ดังนั้น เจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาและหูอย่างสม่ำเสมอ ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับสุนัข ส่วนโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับชิห์สุ ได้แก่ โรคนิ่ว โรคไต และไส้เลื่อน นอกจากนี้ต้องดูแลขนด้วยการแปรงขนเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับการนวดให้ต่อมน้ำมันที่โคนขนขับน้ำมันออกมา เพื่อให้เคลือบเส้นขนได้มากขึ้น จะทำให้ผิวหนังและขนของมันมีสุขภาพสมบูรณ์ แถมช่วยขจัดรังแคกับสิ่งสกปรกอื่นออกจากผิวหนังได้อีกด้วย



 
04-1

4.ยอร์กเชียร์ เทอร์เรียร์ (Yorkshire Terrier)

ยอร์กเชียร์ เทอร์เรียร์ มีถิ่นกำเนิดจากเมืองยอร์กเชียร์ของอังกฤษ โดยการผสมข้ามสายพันธุ์เทอร์เรียร์ ที่แตกต่างกันหลายสายพันธุ์ แต่ก่อนตัวใหญ่กว่านี้ เพราะใช้ล่าหนู ต่อมาพัฒนาให้ตัวเล็กลงเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน สุนัขยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย จัดอยู่ในกลุ่มทอย ด็อก (Toy Dog) น้ำหนักเฉลี่ยของพวกเขาจะอยู่ที่ 1-5.4 กิโลกรัม มีลักษณะนิสัยค่อนข้างห้าว แม้จะตัวเล็กแต่กล้าหาญ เฝ้าบ้านได้ดี รักเจ้าของ แต่เชื่อมั่นในตัวเองสูงจนไม่ค่อยฟังคำสั่งเจ้านาย การเลี้ยงดูนั้นต้องหมั่นแปรงขนให้เป็นประจำทุกวัน ถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ ส่วนการอาบน้ำอาจทำแค่ 1 ครั้งต่อเดือนก็เพียงพอ ในส่วนของเรื่องอาหารการกินของน้องยอร์กเชียร์ ควรเป็นอาหารเม็ดจะดีที่สุด เพราะมีความสะดวกในการเก็บรักษา และมีสัดส่วนสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ อาจผสมอาหารเปียกลงไปในอาหารเม็ดเพื่อเพิ่มความน่ากินเป็นบางครั้งก็ได้ค่ะ



 
05-1

5.บีเกิล (Beagle)

สุนัขพันธุ์นี้เป็นต้นแบบของการ์ตูนเรื่องสนูปปี้ที่แสนโด่งดัง บีเกิลมีถิ่นกำเนิดที่สหราชอาณาจักร เดิมใช้เป็นน้องหมาสำหรับล่ากระต่ายเพราะมีประสาทดมกลิ่นที่ดีมาก แต่ในปัจจุบันถูกฝึกให้เป็นสุนัขตำรวจ หรือสุนัขที่คอยตรวจสอบสิ่งของผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด และอื่นๆ บีเกิลจัดอยู่ในสุนัขกลุ่มฮาวน์ (Hound) หรือสุนัขล่าเนื้อ ส่วนสูงอยู่ที่ 33-38 นิ้ว และมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 8-13 กิโลกรัม ลักษณะรูปร่างของบีเกิลมีขนาดลำตัวยาวกว่าความสูงเล็กน้อย หูปรก สีขนมีทั้งสีขาว ดำ และแทน โดยสีที่ผสมกันทุกสีจะเป็นที่ยอมรับมากที่สุด มีลักษณะนิสัยสุภาพ เป็นมิตร ไม่ดุร้าย ขี้เล่น ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สามารถเข้ากับเด็กและสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับเลี้ยงในบ้าน แต่เพราะด้วยความเชื่องกับคนทั่วไป จึงไม่เหมาะสำหรับเฝ้าบ้าน และคงต้องเลี้ยงดูให้อยู่ในรั้วรอบขอบชิดกันสักหน่อย เนื่องจากเจ้าบีเกิลนั้นไม่ค่อยจะมีสัญชาตญาณในการระวังภัยบนท้องถนนมากนัก มักมีความเข้าใจอย่างผิดๆ ว่า รถทุกคันจะหยุดรอให้พวกมันไปก่อนเสมอ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ จุดประสงค์ดั้งเดิมที่พวกมันถูกพัฒนาขึ้นมาก็เพื่อเป็นสุนัขสำหรับล่าสัตว์ ทำให้พวกมันมีพลังงานในตัวมาก และชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ผู้เลี้ยงควรพาไปออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งค่ะ



 
06-1

6.ปั๊ก (Pug)

สุนัขสายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน สมัยโบราณนิยมเลี้ยงไว้ในวัดจีน ก่อนจะถูกนำไปเลี้ยงยังสถานที่ต่างๆ จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากหน้าตากวนๆ บวกกับรูปร่างอ้วนกลม และด้วยความร่าเริงขี้เล่นของเจ้าปั๊ก จึงทำให้ติดอันดับอย่างไม่ยากนัก
ลักษณะนิสัยจะซนเหมือนเด็กๆ แม้ฉลาดแต่ก็ดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟัง และฝึกยากอยู่สักหน่อย ปั๊กมีขนาดร่างกายเล็กปานกลางเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัวตัน กล้ามเนื้อแข็งแรง ส่วนใบหน้านั้นสั้นและย่น ตาโปน ใบหูพับตกลงด้านข้าง บนลำตัวปกคลุมด้วยขนสั้นเกรียน แต่นุ่มคล้ายกำมะหยี่ หางมีลักษณะบิดเป็นเกลียวชี้ขึ้น หรือม้วนจนเป็นวงติดกับบั้นเอว ถ้าหากหางม้วนได้ถึงสองตลบจัดว่าเป็นลักษณะที่สวยสมบูรณ์ที่สุด
ถึงแม้ว่าปั๊กจะเป็นสุนัขที่ขนสั้นไม่ต้องการการตกแต่งเสริมสวยมากนัก แต่ก็ต้องดูแลรักษาความสะอาด พร้อมกับพาพวกมันไปออกกำลังกายเพื่อไม่ให้กลายเป็นโรคอ้วน หรือเฉื่อยชามากจนเกินไป และเนื่องจากปั๊กมีดวงตาที่โปน โต อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ดวงตาได้ง่าย หากปั๊กเริ่มขยี้ตาบ่อย กะพริบตาถี่ ตาเปลี่ยนสี หรือมีน้ำตามากเกินไป ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที นอกจากนี้ พวกมันยังมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจอยู่เสมอ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูงด้วย


 
07-1

7.บูลด็อก (Bulldog)

บูลด็อกมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ รูปร่างคล้ายวัวขนาดเล็ก ชาวอังกฤษโบราณฝึกบูลด็อกไว้เพื่อต่อสู้กับวัว ซึ่งได้รับการพัฒนาให้ตัวเล็กลงเพื่อความคล่องตัวในการต่อสู้กับวัว แต่เมื่อกีฬาสุดโหดนี้เสื่อมความนิยม ก็มีการคัดเลือกสิ่งดีๆ ในสายพันธุ์ของมันไว้ ยกเว้นความดุร้ายที่ต้องตัดออกไป
ลักษณะทั่วไป บูลด็อกมีรูปร่างบึกบึน ตัวหนา กล้ามเนื้อแข็งแรง พวกมันมีช่วงไหล่กว้างกว่าสะโพก ศีรษะใหญ่กว้าง หน้าสั้น บริเวณหน้าผากมีรอยย่นลึก และหางสั้นขดแน่นกับส่วนหลัง ส่วนอุปนิสัยและพฤติกรรมจัดว่าเป็นสุนัขที่มีความอดทนสูง ขรึม เห่าน้อย บางตัวอาจก้าวร้าว แต่ส่วนใหญ่ชอบเล่น และชอบเด็กๆ
สำหรับการให้อาหารนั้นควรเป็นอาหารเม็ด สลับกับเนื้อสัตว์ปรุงสุกบ้าง แต่ไม่ควรปรุงแต่งด้วยรสเค็ม เพราะการให้อาหารเค็ม หรือให้อาหารเม็ดตลอดเวลาจะส่งผลเสียในระยะยาว เช่น ขนร่วง หรือมีอาการคัน เป็นต้น นอกจากนี้ควรให้อาหารเสริมแคลเซียมบ้างเป็นครั้งคราว ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ ส่วนการทำความสะอาดเพียงแค่อาบน้ำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว และเนื่องจากเป็นสุนัขที่แพ้ง่าย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงหรือพาไปในบริเวณที่มีแมลง เช่น ยุง มด และสัตว์มีพิษ

08-1

8.ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky)

ความเป็นมาของสุนัขพันธุ์นี้ก็ไม่ธรรมดานัก เพราะเดิมเป็นสุนัขของชนเผ่าพื้นเมืองชัคชิ ในตอนนั้นพวกเขาพยายามพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้ได้สุนัขที่สามารถนำมาใช้งานได้ ทั้งการล่าสัตว์ หาอาหาร เฝ้ายาม และลากเลื่อนบนหิมะ ซึ่งความเก่งกาจของสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี้ เลื่องลือไปไกล จนได้ชื่อว่าเป็นสุนัขอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมสูง
ไซบีเรียน ฮัสกี้ มีอายุประมาณ 12-16 ปี ลำตัวปกคลุมด้วยขนหนากว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น สีขนส่วนใหญ่บริเวณเท้า ขา ท้อง รอบดวงตา จะเป็นสีขาว ดวงตามีสีฟ้า น้ำตาลเข้ม เขียว และน้ำตาลอ่อน บางตัวอาจมี 2 สีรวมกัน ความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 50-60 เซนติเมตร น้ำหนักราว 15-28 กิโลกรัม
ไซบีเรียนมีอุปนิสัยเป็นมิตร ขี้เล่น และเข้ากับคนได้ง่าย จึงทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ เนื่องจากเป็นสุนัขที่กระตือรือร้น และชอบสิ่งใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ไซบีเรียน ฮัสกี้ มีความสุข และยังช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องการกินอาหารยากได้อีกด้วย ถึงแม้จะเป็นสุนัขที่มีขนหนาก็ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดบ่อยนัก แต่หลังการอาบน้ำทุกครั้งควรเป่าขนให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันโรคผิวหนังค่ะ

09-1

9.โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever)

เมื่อพูดถึง หมา สายพันธุ์นี้ขึ้นมา เชื่อว่าคนรักสุนัขไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน เพราะเรามักเห็นเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ในภาพยนตร์ หรือโฆษณาอยู่บ่อยครั้ง โดยสุนัขใจดีตัวนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ และสกอตแลนด์ เริ่มแรกเดิมทีถูกเลี้ยงเอาไว้เพื่อใช้เป็นสุนัขล่าสัตว์ของนายพราน ก่อนที่จะกลายเป็นสุนัขตำรวจ และสุนัขบ้านในเวลาต่อมา
โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขในกลุ่มกีฬา (Sporting Group) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้งานในกีฬาล่าสัตว์ขนาดกลาง มีอายุเฉลี่ย 12–14 ปี ส่วนสูงราวๆ 51-60 เซนติเมตร หนักประมาณ 22-26 กิโลกรัม มีสีหลายระดับสี มักจะเป็นสีออกครีมถึงสีเหลืองทองจนถึงกึ่งเข้มแดงมะฮอกกานี ขนแน่นหยักเป็นลอนเล็กน้อย โครงสร้างลำตัวสั้นกระชับได้สัดส่วน อุปนิสัยของเจ้าโกลเด้นก็น่ารักสุดๆ ไปเลยค่ะ
นอกจากจะมีเสน่ห์ ขี้เล่น ช่างประจบเอาใจ เสียสละ รักเจ้าของ พวกมันยังเป็นสุนัขที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบอยู่กับคน แถมยังฝึกฝนง่ายอีกด้วย และเนื่องจากโกเด้น รีเทรีฟเว่อร์มีขนร่วงมาก จำเป็นจะต้องแปรงและหวีขนให้มันสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง นอกจากนี้พวกมันจะมีความสุขมาก หากเจ้าของพาไปวิ่งเล่นในสนามโล่งๆ หรือพาไปว่ายน้ำบ้าง ส่วนเรื่องอาหารที่ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ขนาดโตเต็มวัยต้องการ ควรเป็นอาหารชั้นดี โดยให้เพียงวันละ 1 ครั้ง ในปริมาณที่เพียงพอ แต่ในระหว่างวันอาจให้บิสกิตเสริมได้วันละ 2 ครั้ง



 
10-1

10.ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever)

ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ มีต้นกำเนิดในรัฐ นิว ฟาวด์แลนด์ ประเทศแคนาดา ใช้ช่วยงานชาวประมงในการลากอวนเข้าฝั่ง เดิมทีชาวประมงจะเลี้ยงไว้ใช้เก็บเหยื่อจำพวกปลาที่หลุดออกจากเบ็ด แห หรือใช้คาบเป็ดป่าที่โดนยิงตกลงไปในน้ำ ก่อนจะมาเป็นที่นิยมในอังกฤษ ต่อมาใช้ฝึกเป็นสุนัขตำรวจเพื่อตรวจค้นหายาเสพติด ระเบิด และช่วยนำทางให้ผู้พิการทางสายตา
ลาบราดอร์จะมีขนสองชั้น ชั้นนอกสั้น เหยียดตรง และแน่น ส่วนขนชั้นในจะนุ่ม ช่วยปกป้องสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายได้ดี สีขนเป็นสีดำ สีเหลือง หรือสีช็อกโกแลต บางครั้งอาจมีจุดขาวบริเวณหน้าอก หางของมันดูคล้ายหางของตัวนาก โคนหางจะหนาและเรียวลงจนถึงปลายหาง ลาบราดอร์เป็นสุนัขที่มีเสน่ห์ และน่าเลี้ยงที่สุดพันธุ์หนึ่ง เนื่องจากฝึกง่าย พวกมันมักตื่นตัว กระฉับกระเฉง ช่างประจบ และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เป็นมิตรกับคน รวมทั้งสัตว์อื่นๆ
นอกจากโดดเด่นเรื่องความฉลาดแล้ว ลาบราดอร์ยังมีจมูกไวเป็นเลิศ จึงถูกฝึกให้เป็นสุนัขตำรวจ หรือสุนัขกู้ภัย ส่วนการดูแลนั้น เจ้าลาบราดอร์ควรแปรงขนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง พร้อมกับนำลาบราดอร์ไปวิ่งเล่นอย่างน้อยวันละ 30 นาที และหากมีเวลาก็ควรให้มันได้ลงไปว่ายน้ำเก็บของบ้างเป็นครั้งคราว นอกจากนี้อย่าลืมพาไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เนื่องจากลาบราดอร์มักมีปัญหาเรื่องโรคกระดูกข้อสะโพกหลุด หรือโรคกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของสุนัขพันธุ์นี้นั่นเองค่ะ

ไขข้อสงสัย ทำไมไม่ควรไถขนน้องหมาในช่วงหน้าร้อนนนนนน


ไขข้อสงสัย ทำไมไม่ควรไถขนน้องหมาในช่วงหน้าร้อนนนนนน



ตอนนี้เข้าช่วงหน้าร้อนกันแบบเต็มตัวแล้วนะคะ ด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทุกวันแบบนี้ เจ้าของน้องหมาหลาย ๆ คนก็เริ่มที่จะพาน้องหมาไปตัดแต่งทรงขน หรือบางคนก็เลือกที่จะไถขนให้น้องหมาจนติดผิวหนัง เพราะหวังว่าจะช่วยให้น้องหมารู้สึกเย็นสบาย คลายร้อนลงไปได้ แต่รู้ไหมคะว่า การไถขนน้องหมาเป็นอันตรายกับน้องหมามากกว่าที่คิดค่ะ ...

    เทคนิคการเลี้ยงการดูแล ในวันนี้ ปังปอนด์ก็เลยจะพาเพื่อน ๆ มารู้ถึงเหุตผลกันค่ะว่าทำไมถึงไม่ควรจับน้องหมาไถขนจนสั้นเกรียนในช่วงหน้าร้อน เราไปหาคำตอบกันเลยค่ะ 


    Dogilike.com :: ไขข้อสงสัย ทำไมไม่ควรไถขนน้องหมา(บางพันธุ์)ในช่วงหน้าร้อน !


ตัดขน ไถขนให้น้องหมาในหน้าร้อนได้ไหม?


       มีเจ้าของน้องหมาจำนวนไม่น้อยเลยค่ะ ที่เวลาถึงหน้าร้อนทีไรเป็นต้องจองคิวพาน้องหมาไปตัดขน ไถขน เพราะหลายคนเป็นกังวลกลัวว่า น้องหมาจะรู้สึกร้อนและเจ็บป่วยได้ ซึ่งการตัดขนให้น้องหมาในหน้าร้อนไม่ผิดค่ะ แต่เราจะต้องรู้จักการตัดขนให้น้องหมาอย่างพอดี ไม่ไถขนให้สั้นเกรียนติดผิวหนังเพราะจะทำให้น้องหมาเจ็บป่วยได้ค่ะ ...

      ในน้องหมาขนยาว หนาแน่น หรือน้องหมาที่มีขน 2 ชั้น เช่น ปอมเมอเรเนียน เชาเชา ชิสุ ไซบีเรียน ฮัสกี้ ฯ การตัดขนก็ช่วยระบายความร้อนได้ในระดับหนึ่งค่ะ แต่การจับน้องหมาเหล่านี้ไปไถขนจนสั้นเกรียนติดผิวหนัง จะทำให้แสงแดดทำอันตรายต่อผิวหนังที่บอบบางของน้องหมาได้ง่ายขึ้น เสี่ยงเป็นฮีทสโตรกมากกว่าปกติ และที่สำคัญน้องหมาอาจเจ็บป่วยเพราะอุณหภูมิร่างกายที่ไม่สมดุลได้ค่

       โดยปกติแล้วน้องหมาจะมีต่อมเหงื่อน้อยกว่ามนุษย์ การระบายความร้อนจึงทำได้ช้ากว่า เสี่ยงเป็นโรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรก (Heat Stroke) ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ง่าย การตัดขนจึงต้องตัดให้พอดีไม่สั้นจนเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ดีกับน้องหมา แต่หากสั้นเกินไป หรือตัดจนเกรียนแบบนี้ไม่แนะนำค่ะ

Dogilike.com :: ไขข้อสงสัย ทำไมไม่ควรไถขนน้องหมา(บางพันธุ์)ในช่วงหน้าร้อน !



น้องหมาขนสั้นไม่จำเป็นต้องตัด/ไถขน


       เจ้าของน้องหมาไม่น้อยเลยค่ะที่พาน้องหมาสายพันธุ์ที่มีขนสั้นอยู่แล้ว เช่น ปั๊ก , เฟรนช์ บูลด็อก ฯลฯ ไปไถขนจนเกรียน ... บอกเลยค่ะว่า น้องหมาพันธุ์ขนสั้น ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องพาไปไถขนให้สั้นเกรียนติดผิวหนัง ถ้าอยากตัดขนให้น้องหมาขนสั้นจริง ๆ แนะนำให้ตัดขนใต้อุ้งเท้าแทนเพราะต่อมเหงื่อของน้องหมาอยู่บริเวณนี้ค่ะ พร้อมกับหมั่นแปรงขนให้เป็นประจำทุกวันก็เพียงพอสำหรับน้องหมาขนสั้นแล้วค่ะ

      รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการจับน้องหมาอาบน้ำบ่อย ๆ เพราะว่าการอาบน้ำบ่อย ๆ จะเป็นการทำลายไขมันที่ร่างกายน้องหมาผลิตออกมาเคลือบผิวหนังและเส้นขน ซึ่งจะส่งผลทำให้ผิวหนังและเส้นขนหยาบ แห้ง ขาดความเงางาม ก่อให้เกิดอาการคันในน้องหมาบางตัว และอาจทำให้น้องหมาเป็นโรคผิวหนังอักเสบได้ค่ะ อ่านเพิ่มเติม กรูมมิ่งน้องหมาอย่างไร? ไม่ให้ฮีทสโตรกในหน้าร้อน



น้องหมาขนสั้น/ยาว กับการระบายความร้อน


Dogilike.com :: ไขข้อสงสัย ทำไมไม่ควรไถขนน้องหมา(บางพันธุ์)ในช่วงหน้าร้อน !
        ลักษณะเส้นขนที่สั้นและยาวของน้องหมามีข้อดีและข้อเสียในการระบายความร้อนที่แตกต่างกัน คือ น้องหมาที่มีขนยาวจะรักษาความร้อนไว้กับร่างกายได้ดีกว่า ซึ่งจะมีประโยชน์ในหน้าหนาว และช่วยปกป้องและกรองรังสีต่าง ๆ จากแสงอาทิตย์ ลดระดับความร้อนที่ส่งตรงมายังผิวหนัง ทำให้ผิวไม่ไหม้ แต่ในหน้าร้อนจะส่งผลให้อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้น หากขนพันกันเป็นสังกะตังก็จะยิ่งทำให้อากาศไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ จึงต้องแปรงขนม หรือตัดขนให้สั้นลงเพื่อช่วยระบายความร้อนอย่างสม่ำเสมอ

     แต่สำหรับน้องหมาขนสั้น อุณหภูมิภายในร่างกายจะไม่สูงเท่ากับน้องหมาขนยาว จึงทนต่อความร้อนได้ดีกว่าในช่วงหน้าร้อน แต่น้องหมาขนสั้นก็เสี่ยงที่ผิวหนังได้รับความร้อนและรังสีได้มากกว่า โดยเฉพาะน้องหมาขนสั้นชั้นเดียว มีผิวหนังสีอ่อน หรือมีขนน้อย ไร้ขน ก็เสี่ยงผิวไหม้แดด และ มะเร็งผิวหนังค่ะ 

      ไม่ควรปล่อยให้น้องหมาขนสั้นนอนอาบแดด หรืออยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ๆ เพราะน้องหมาขนสั้นมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้องหมาขนสั้นที่มีผิวหนังสีอ่อน ขนสีอ่อน เช่น สีขาว หรือน้องหมาที่ไม่ค่อยมีขนบริเวณท้อง เช่น น้องหมาพันธุ์เกรย์ฮาวนด์ เกรทเดน บูลเทอร์เรีย ฯลฯ


โรคลมแดดคืออะไร?

 

     หลายคนอาจจะสงสัยว่า โรคลมแดด หรือฮีทสโตรกที่พบบ่อยในหน้าร้อนคืออะไร ต้องขออธิบายก่อนเลยค่ะว่า โรคลมแดด หรือฮีทสโตรก เป็นภาวะที่ร่างกายน้องหมาได้รับความร้อนมากเกินไป ร่างกายปรับสมดุลไม่ทัน ทำให้เกิดความร้อนในตัวน้องหมา เป็นลักษณะของอาการฮีตสโตรก หรือลมแดด ... ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายน้องหมาจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 38 – 39 องศาเซลเซียสค่ะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่น้องหมาหอบแสดงว่าร่างกายของน้องหมามีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งหากสูงถึง 41 องศาเซลเซียสจะทำลายอวัยวะภายในต่างๆ ของน้องหมาให้ล้มเหลว ถึงขั้นไม่สามารถรักษาให้กลับมาใช้งานได้อีก โดยเฉพาะสมองที่อ่อนไหวต่อความร้อนอย่างสูง รวมทั้งอาจส่งผลให้น้องหมาหัวใจวายถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ (เพื่อนๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการฮีทสโตรกได้ที่บทความ ทำยังไงดี เมื่อน้องหมาเกิดอาการ "Heat stroke"ค่ะ)
Dogilike.com :: ไขข้อสงสัย ทำไมไม่ควรไถขนน้องหมา(บางพันธุ์)ในช่วงหน้าร้อน !

ดูแลฟันน้องหมา

4 tips ง่ายๆ ดูแลฟันน้องหมาให้ขาวปิ๊ง ไร้กลิ่นปาก 


 ช่องปากและฟันของน้องหมา เป็นอวัยวะที่เจ้าของน้องหมาต้องให้ความสำคัญนะคะ หากไม่ได้รับการดูแลก็อาจจะทำให้น้องหมาเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น เกิดคราบหินปูน กลิ่นปาก ฟันผุ โรคปริทันต์ตามมาได้
 มารู้จักวิธีดูแลฟันน้องหมาแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลกันค่ะ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย



แปรงฟันทุกวัน

 

Dogilike.com :: 4 tips ง่ายๆ ดูแลฟันน้องหมาให้ขาวปิ๊ง ไร้กลิ่นปาก !


    แปรงฟันให้น้องหมาเป็นประจำทุกวัน เป็นวิธีดูแลสุขภาพช่องปากและฟันที่เพื่อน ๆ ไม่ควรละเลยค่ะ โดยเพื่อน ๆ ควรเริ่มหัดแปรงฟันให้น้องหมาตั้งแต่ฟันน้องหมาอายุ  8 สัปดาห์ หรือในช่วงที่น้องหมามีฟันน้ำนมขึ้นจนครบเพื่อให้น้องหมาเกิดความเคยชิน เพราะเมื่อน้องหมาเริ่มมีฟันแท้ที่อายุประมาณ 7 เดือน จะได้ไม่เกิดปัญหาน้องหมาดื้อไม่ยอมให้แปรงฟันค่ะ

     ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถหาซื้อแปรงสีฟันได้ตามร้านค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือขอคำปรึกษาจากคุณหมอให้ช่วยแนะนำก็ได้ค่ะ โดยน้องหมาพันธุ์ต่าง ๆ จะมีแปรงที่เหมาะกับช่องปากต่างกันไป เช่น น้องหมาพันธุ์หน้าสั้น ช่องปากกว้าง เช่น ปั๊ก บูลด๊อก ควรเลือกแปรงแบบสวมนิ้ว แต่ถ้าเป็นพันธุ์หน้าเล็ก ช่องปากแคบ เช่น พุดเดิ้ล ปอมเมอเรเนียน ควรเลือกใช้แปรงมีด้ามขนาดเล็ก หรือถ้าน้องหมามีช่องปากกว้างและหน้ายาว เช่น ลาบราดอร์ ล็อตไวเลอร์ ควรเลือกใช้แปรงมีด้ามขนาดใหญ่ ซึ่งผู้เลี้ยงต้องเลือกแปรงให้เหมาะสมกับขนาดขนาดช่องปากของน้องหมาด้วยนะคะ

ใช้เจลและน้ำยาขจัดคราบหินปูน
 

Dogilike.com :: 4 tips ง่ายๆ ดูแลฟันน้องหมาให้ขาวปิ๊ง ไร้กลิ่นปาก !

    ถ้าหากน้องหมาของเพื่อน ๆ ต่อต้านการแปรงฟัน แนะนำให้ใช้วิธีใช้เจล หรือน้ำยาขจัดคราบหินปูนค่ะ โดยเจลและน้ำยาขจัดคราบหินปูน มีคุณสมบัติในการกำจัดกลิ่นปาก ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยขจัดและยับยั้งการเกิดใหม่ของหินปูนที่เป็นสาเหตุของปัญหาโรคเหงือกและ ฟัน ป้องกันฟันผุ ช่วยให้สุนัขของเรามีฟันที่สะอาดและขาวยิ่งขึ้น โดยเจลและน้ำยาขจัดคราบหินปู สุนัขสามารถกลืนได้ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพของน้องหมาค่ะ

      โดยเจลขจัดคราบหินปูน มีวิธีใช้ง่ายนิดเดียวค่ะคือ หยดเจลในปริมาณที่พอเหมาะบนฟันของน้องหมา ส่วนน้ำยาขจัดคราบหินปูนก็เพียงแค่ผสมกับน้ำดื่มสะอาดในปริมาณที่ระบุไว้ข้างผลิตภัณฑ์ก็จะช่วยลดปัญหาคราบหินปูนในช่องปากของน้องหมาได้ดีทีเดียวเลยล่ะค่ะ

ขนมขัดฟัน

 

Dogilike.com :: 4 tips ง่ายๆ ดูแลฟันน้องหมาให้ขาวปิ๊ง ไร้กลิ่นปาก !

       อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้น้องหมามีสุขภาพฟันที่ดี ก็คือ การให้ขนมขัดฟันสำหรับน้องหมาค่ะ โดยขนมขัดฟันจะช่วยขัดฟัน กำจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามร่องฟัน และช่วยลดคราบแบคทีเรีย ซึ่งเป็นขนมชนิดที่น้องหมาสามารถกลืนกินเข้าไปได้โดยไม่เป็นอันตราย ในบางยี่ห้อจะมีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป เช่น ซิงค์ ซัลเฟต (Zinc Sulphate) และเอสทีทีพี (Sodium Tripoly Phosphate) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการก่อตัวของคราบหินปูน และช่วยระงับการเกิดกลิ่นปากในน้องหมา มีหลายขนาดให้เลือกเหมาะสำหรับน้องหมาทุกสายพันธุ์ โดยเฉพาะน้องหมาพันธุ์เล็กที่มีอายุยืนยาว และในน้องหมาพันธุ์หน้าสั้นที่ฟันมีการเรียงตัวของซี่ฟันที่ง่ายต่อการสะสมเชื้อแบคทีเรียในช่องปากอีกด้วยค่ะ

     ข้อควรระวัง ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องเลือกขนมขัดฟันขนาดที่พอดีกับช่องปากและฟันของน้องหมาตัวเอง โดยเลือกดูได้จากฉลากของบรรจุภัณฑ์ เพราะขนมขัดฟันส่วนมากจะมีเนื้อสัมผัสค่อนข้างแข็ง หากเลือกขนาดของขนมขัดฟันที่ไม่พอเหมาะกับน้องหมาก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของเหงือกทำให้เกิดบาดแผล เลือดออกได้ หากน้องหมาแทะขนมขัดฟันไม่หมดก็ควรนำขนมขัดฟันแท่งนั้นไปทิ้ง เพื่อสุขอนามัยที่ดีของน้องหมากันด้วยนะ

ขูดหินปูน


Dogilike.com :: 4 tips ง่ายๆ ดูแลฟันน้องหมาให้ขาวปิ๊ง ไร้กลิ่นปาก !
      ในน้องหมาที่มีปัญหาเรื่องคราบหินปูนกวนใจเป็นจำนวนมากแล้ว แนะนำให้เพื่อน ๆ ลองปรึกษาสัตวแพทย์ใกล้บ้านเพื่อทำการขูดหินปูนให้กับน้องหมานะคะ โดยขั้นตอนการขูดหินปูนนั้น คุณหมอต้นประจำเว็บไซด์ด็อกไอไลค์ บอกว่า จำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อเช็กความพร้อมของน้องหมาก่อน เมื่อน้องหมามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงก็จะนัดทำการขูดหินปูน โดยต้องมีการวางยาสลบ (การไม่วางยาสลบเพื่อขูดหินปูนเป็นเรื่องที่ผิดนะคะ) และจะมีการสอดท่อออกซิเจนระหว่างการขูดหินปูน ซึ่งเวลาที่ใช้ในการขูดหินปูนจะขึ้นอยู่กับปริมาณคราบหินปูนของน้องหมาแต่ละตัว ยิ่งเยอะก็ยิ่งใช้เวลาขูดนานขึ้น แต่ไม่เป็นอันตรายกับน้องหมาค่ะ


    ... ช่องปากและฟันของน้องหมาเป็นหนึ่งอวัยวะที่ต้องการการดูแลไม่แพ้อวัยวะส่วนอื่น ๆ รู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมดูแลช่องปากและฟันน้องหมาให้สุขภาพดีอยู่เสมอนะคะ 

การขูดหินปูนในสุนัข

สงสัยจัง การขูดหินปูนในสุนัขทำไมต้องวางยาสลบ ?



Dogilike.com :: สงสัยจัง การขูดหินปูนในสุนัขทำไมต้องวางยาสลบ ?



     ถ้าจะให้พูดถึงอวัยวะที่เจ้าของสุนัขมักจะละเลยมากที่สุด ก็ต้องขอบอกเลยว่า "ช่องปากและฟัน" เป็นอวัยวะอันดับต้น ๆ ที่มักขาดการดูแลเอาใจใส่ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นมีความสำคัญต่อร่างกายมาก เป็นต้นทางของการนำอาหารเข้าไปเลี้ยงในร่างกาย เท่าที่ผมลองสอบถามเจ้าของที่พาสุนัขมารักษา ว่าเคยแปรงฟันให้กับสุนัขหรือไม่  คำตอบมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ก็จะตอบว่า "ไม่เคยแปรงฟันให้สุนัขเลย" (ลองถามตัวเองว่าจริงหรือเปล่า)

     ต้องยอมรับเลยว่าอุปสรรคสำคัญก็เกิดมาจากตัวสุนัขเอง ที่ไม่ยอมให้เราแปรงฟันให้ บางตัวแค่จะจับปากก็ไม่ยอมแล้ว แถมมีขู่อีกต่างหาก เจ้าของบางคนก็เลยล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำไป เชื่อหรือไม่ครับว่า สุนัขที่มีอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป ต่างก็มีปัญหาสุขภาพช่องปากด้วยกันทั้งนั้น มากน้อยขึ้นกับรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละตัว ที่สำคัญปัญหาสุขภาพช่องปาก ยังส่งผลถึงสุขภาพร่างกายโดยรวมได้ด้วย ดังนั้นเราก็ไม่ควยจะปล่อยผ่าน เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไปได้เลย...

การขูดหินปูนสุนัขมีความสำคัญอย่างไร

     ก่อนจะพูดถึงความสำคัญของการขูดหินปูน ขอย้อนทำความเข้าใจถึงที่มาของปัญหาสุขภาพช่องปากกันก่อนนะครับ สาเหตุของโรคเหงือกอักเสบก็เกิดจากการสะสมของคราบน้ำลาย คราบน้ำลายก็เป็นการรวมตัวของน้ำลาย เศษอาหาร (น้ำตาล) และแบคทีเรีย (คราบจุลินทรีย์) จะเริ่มจะสมตามขอบเหงือก ใต้เหงือกมากที่สุด เพราะส่วนนี้ไม่ค่อยถูกกัดหรือเสียดสีมากนัก มักก็สะสมกันไปเรื่อย ๆ พอสักพักก็จะเกิดการรวมตัวกับแร่ธาตุ ที่นี้จากคราบน้ำลายก็จะแข็งตัวขึ้นกลายเป็น หินปูน หรือ คราบหินปูน ก็จะเกิดการสะสมของแบคทีเรียเพิ่มขึ้นได้ง่าย ก่อให้เกิดโรคช่องปาก เหงือก และฟันตามมา ลองนึกภาพตามว่า น้องหมามีเชื้อโรคจำนวนมหาศาลอยู่ในช่องปาก ก็เหมือนกันการอมระเบิดเวลาดี ๆ นี่เอง วันดีคืนดีก็ระเบิด ..ตู้ม!! เกิดปัญหาและยังลุกลามไปต่อได้อีก เพราะมีการยืนยันแน่ชัดแล้วว่า แบคทีเรียในช่องปากสุนัข สามารถก่อให้เกิดโรคลิ้นหัวใจอักเสบ ตับและไตอักเสบได้ ฯลฯ เพื่อน ๆ ลองอ่านบทความนี้เพิ่มเติมได้นะครับ ปล่อยให้หมาปากเหม็น ระวัง !! ป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจอักเสบ
Dogilike.com :: สงสัยจัง การขูดหินปูนในสุนัขทำไมต้องวางยาสลบ ?
     ดังนั้น การขูดหินปูนจึงมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะขูดเฉพาะกันแค่ตัวฟันที่โผล่พ้นเหงือกเท่านั้น ในบริเวณตามขอบเหงือกและฟันที่อยู่ใต้ขอบเหงือกลงไป เป็นส่วนที่เรามองไม่เห็นและสามารถมีคราบน้ำลายเข้าไปสะสมได้ มันเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่เรามองไม่เห็นก้อนน้ำแข็งใต้น้ำ อยู่ดี ๆ ก็มีเรือขับไปชนแล้วจมลง เจ้าคราบหินปูนที่อยู่ในส่วนลึกนี้ เราไม่สามารถทำความสะอาดได้ด้วยวิธีตามปกติ แม้จะแปรงฟันทุกวันก็ตาม จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญช่วยกำจัดคราบหินปูนให้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องพาสุนัขไปให้สัตวแพทย์ขูดหินปูนให้  เจ้าของจึงไม่ควรปล่อยให้หินปูนสะสมจำนวนมากแล้วจึงค่อยพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ แต่ควรหมั่นทำต่อเนื่องตามนัดของสัตวแพทย์จะเหมาะสมกว่าครับ

ขั้นตอนการขูดหินปูนในสุนัข

     สำหรับใครที่สงสัยกันอยู่ว่า ในสุนัขนั้นมีขั้นตอนการขูดหินปูนอย่างไร วันนี้ผมขอมาเล่าให้พอมองเห็นภาพกันก่อนนะครับ หากเจ้าของต้องการจะพาสุนัขไปขูดหินปูน ตอนแรกเราก็ต้องพาสุนัขไปตรวจสุขภาพก่อน ซึ่งจะมีการประเมินสุขภาพโดยรวมของร่างกาย และเก็บเลือดไปตรวจ สุนัขบางตัวอาจต้องได้รับการถ่ายภาพรังสีช่องอกร่วมด้วย เพื่อประเมินความพร้อมก่อน เนื่องจากการขูดหินปูนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการวางยาสลบโดยการสอดท่อเพื่อดมยาสลบเพื่อความปลอดภัย ควรพาไปตรวจสุขภาพก่อนอย่าน้อย  1-2 วัน
     เมื่อผลร่างกายออกมาว่าสุนัขมีความพร้อมในการรับการวางยาสลบเพื่อขูดหินปูนได้แล้ว ก่อนที่จะพามาขูดหินปูน เจ้าของจะต้องทำการงดน้ำและอาหารสุนัขทุกอย่างเป็นเวลาอย่างน้อย 6-12 ชั่วโมง เช่นเดียวกับการพาสุนัขไปทำหมัน  เมื่อสุนัขมาถึงคุณหมอก็จะทำการตรวจร่างกายอีกครั้ง ชั่งน้ำหนัก และเตรียมสุนัขเข้ารับการวางยาสลบ ก็จะมีการวางยานำสลบ จากนั้นก็จะให้น้ำเกลือเข้าเส้นเลือด แล้วทำการวางยาสลบ ด้วยการฉีดยาเข้าเส้นเลือด แล้วสอดท่อช่วยหายใจเข้ากับก๊าซยาสลบร่วมกับการให้อ๊อกซิเจน 
Dogilike.com :: สงสัยจัง การขูดหินปูนในสุนัขทำไมต้องวางยาสลบ ?
     ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนการขูดหินปูนกันแล้ว ก่อนอื่นคุณหมอก็ต้องทำการตรวจช่องปากโดยละเอียดก่อน จากนั้นก็จะทำการขูดหินปูน ทั้งตัวฟันที่โผล่พ้นเหงือกและอยู่ใต้เหงือกตามล่องของปริทันต์ ทำการย้อมสีฟันดูคราบหินปูนที่ตกค้าง แล้วทำการขูดต่อจนหมดสิ้น ในทุกด้านของฟันทั้งด้านนอกและด้านใน ทั้งฟันบนและฟันล่าง สุนัขโตเต็มวัยจะมีฟันทั้งหมด 42 ซี่  แล้วจึงทำการขัดเคลือบผิวฟัน ซึ่งในการตอนนี้ทั้งหมด นอกจากการขูดหินปูนแล้ว การมีการตรวจเหงือกและฟันอย่างละเอียด บางครั้งหากจำเป็นต้องถอนฟันก็จะได้ทำไปทีเดียวเลย เนื่องจากได้วางยาสลบสุนัขแล้วก็ต้องทำให้ครอบคลุมทั้งหมดทีเดียว หลังจากขูดหินปูนเสร็จแล้ว สุนัขจะถูกส่งตัวไปยังห้องพักฟื้น เพื่อรอสุนัขฟื้นตัวจากยาสลบ แล้วจึงค่อยกลับบ้าน ซึ่งเจ้าของอาจได้รับยาฆ่าเชื้อและยาลดการอักเสบมาป้อนสุนัขที่บ้าน หรืออาจมีนัดกลับไปตรวจซ้ำตามดุลยพินิจของสัตวแพทย์ครับ

ขูดหินปูนแบบไม่ต้องวางยาสลบได้หรือไม่

     เจ้าของหลายคนมักจะกังวลใจทุกครั้งเมื่อสุนัขต้องเข้ารับการวางยาสลบ โดยเฉพาะการวางยาสลบเพื่อทำการขูดหินปูน จึงมีคนฉวยโอกาสจากความกังวลใจนี้ นำมาเป็นจุดขายโฆษณาการขูดหินปูนโดยไม่ต้องวางยาสลบให้กับสุนัข เนื่องจากไม่ต้องเสี่ยงในการวางยาสลบและมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ามาล่อใจเจ้าของสุนัข แต่รู้หรือไม่ครับว่า การขูดหินปูนโดยไม่วางยาสลบนั้น ไม่ต่างอะไรกับการไม่ขูดหินปูนเลย เพราะเราไม่สามารถทำการขูดหินปูนให้กับสุนัขได้อย่างละเอียดรอบด้านของแต่ละซี่ฟัน โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ใต้เหงือกลงไป ที่สำคัญเรายังไม่สามารถทำการตรวจช่องปากของสุนัขได้อย่างละเอียด หรือบางครั้งคุณหมออาจต้องเอ็กซเรย์ช่องปากดูเพิ่มเติมอีกด้วย ปกติสุนัขจะไม่ชอบให้เราจับปาก ยิ่งถ้าหากมีการบังคับเปิดปากก็จะปฏิเสธทันที หากสุนัขดิ้นก็ยิ่งได้รับอันตรายจากเครื่องมือที่ใส่ไปช่องปากได้ด้วย ปัจจุบันวิทยาการการวางยาสลบของสุนัขพัฒนามาไกล และมียาสลบที่ปลอดภัยกับสุนัขมากขึ้น อีกทั้งการที่สุนัขทุกตัวได้รับการประเมินสุขภาพอย่างละอียดก่อนการวางสลบ ก็เป็นการช่วยลดความเสี่ยงการวางสลบลงได้เป็นย่างมากครับ 
Dogilike.com :: สงสัยจัง การขูดหินปูนในสุนัขทำไมต้องวางยาสลบ ?
     เพื่อน ๆ คงจะเห็นแล้วนะครับว่าการขูดหินปูนในสุนัขนั้นมีขั้นตอนอย่างไร และทำไมจึงต้องวางยาสลบ สำหรับเจ้าของที่ยังกังวลใจหรือเลี้ยงสุนัขที่มีอายุมาก ป่วยเป็นโรคประจำตัวไม่สามารถทำการวางยาสลบเพื่อขูดหินปูนให้ได้ การใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่างอาจช่วยลดคราบน้ำลายได้บ้าง แต่ไม่ดีเท่าการวางยาสลบแล้วขูดหินปูนครับ ดังนั้นเจ้าของอาจต้องใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันเพื่อลดคราบน้ำลาย (คาบจุลินทรีย์) ทั้งการแปรงฟัน ปรับอาหาร ใช้ยาล้างปากชนิดผสมน้ำให้กินหรือเจลแต้มฟัน รวมถึงต้องพาสุนัขไปตรวจกับสัตวแพทย์เป็นประจำด้วยนะครับ    

พฤติกรรมเเปลกๆชองน้องหมา


พฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก 

  ยกตัวอย่างเช่น น้องหมาของเราที่มีพฤติกรรมชอบ      "ตด" หรือ การผายลม เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมของน้องหมาที่เจ้าของมักจะพูดถึงบ่อย ๆ ในแง่ของความตลกโปกฮา น้องหมาบางตัวตดเก่ง ตดบ่อย ตดจนเจ้าของต้องร้องขอชีวิต!! ... เรื่องตดถึงแม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติ และอาจจะดูเป็นเรื่องตลก แต่เชื่อไหมคะว่า ถ้าหากน้องหมาตดบ่อย ๆ ตดถี่ ๆ นอกจากเจ้าของจะรู้สึกว่ากลิ่นเป็นพิษต่อโพรงจมูกแล้ว สิ่งนี้อาจจะเป็นอีกสัญญาณที่บอกถึงปัญหาสุขภาพของน้องหมาก็ได้ Dogilike.com :: น้องหมาตดบ่อย! ... พฤติกรรมนี้บอกอะไรเราบ้าง>> น้องหมามีพฤติกรรมการกินที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ... กินเร็ว กินคำใหญ่
     งงใช่ไหมล่ะคะว่า การกินเร็ว กินเยอะ กินคำใหญ่ ของน้องหมาจะทำให้ตดได้ยังไง คือแบบนี้ค่ะ ... เมื่อน้องหมากินเร็วก็จะมีโอกาสกลืนลมเข้าไปด้วย ทำให้มีอากาศในลำไส้เยอะ และยิ่งถ้าน้องหมาของเราเป็นน้องหมาที่มีนิสัยกินเร็ว หรือเป็นสายพันธุ์ที่ชื่นชอบเรื่องการกินเป็นพิเศษ เช่น บีเกี้ล , ลาบราดอร์ หรือเป็นน้องหมาสายพันธุ์หน้าสั้นที่กินอาหารไม่ค่อยเคี้ยว เช่น บูลด็อก , เฟรนช์บูลด็อก ให้ลองเลือกสูตรอาหารที่มีลักษณะเม็ดอาหารเหมาะกับน้องหมา ซึ่งก็คือเป็นอาหารที่มีเม็ดขนาดใหญ่กว่าทั่วไปเพื่อให้น้องหมาได้ใช้เวลาในการกินมากขึ้น ทำให้น้องหมาที่ไม่ค่อยเคี้ยวอาหารได้เคี้ยวอาหารมากขึ้น และช่วยในเรื่องขัดฟันด้วย นอกจากนี้นวัตกรรมอย่างชามชะลอการกินอาหารก็ช่วยแก้ปัญหานี้ได้เช่นกันค่ะ
 >> น้องหมากินอาหารต่อมื้อเยอะเกินไป และอาหารที่กินไม่มีคุณภาพ
     การให้น้องหมากินอาหารมาก ๆ และอาหารที่ไม่มีคุณภาพย่อยยาก จะทำให้น้องหมามีอาการท้องอืด ตดง่าย เพราะอาหารที่กินเข้าไปแล้วย่อยยากหรือไม่ย่อยจะตกค้างอยู่ในลำไส้ถูกหมักหมมด้วยแบคทีเรียจนเกิดเป็นแก๊ส (ยิ่งตกค้างมากแก๊สยิ่งมาก) และเมื่อสะสมมาก ๆ ร่างกายก็จะระบายออกมาในรูปแบบของการตด น้องหมาที่มีแก๊สเยอะก็จะตดบ่อย ตดไม่เลือกที่ ไม่เลือกสถานการณ์ ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือผู้เลี้ยงควรเลือกอาหารที่ทำจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพให้น้องหมากิน อาหารน้องหมาควรประกอบด้วยโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถนำสารอาหารไปใช้ได้ทั้งหมด
 >> ให้น้องหมากินอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สได้ง่าย
     อาหารที่ไม่ควรให้น้องหมากินเพราะจะทำให้น้องหมามีแก๊สกระเพาะและท้องอืดได้ง่าย ก็คือ อาหารที่ทำมาจากถั่วเหลือง ถั่ว หรืออาหารเสียที่หมดอายุแล้ว อาหารที่มีไขมันมาก ๆ ของทอดต่าง ๆ อาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม และอาหารที่ใส่เครื่องเทศ และที่หลายคนคิดไม่ถึงว่าจะทำให้น้องหมาท้องอืดได้ก็คือ อาหารที่มีปริมาณไฟเบอร์สูงมาก ๆ
Dogilike.com :: น้องหมาตดบ่อย! ... พฤติกรรมนี้บอกอะไรเราบ้าง
 >> ระบบย่อยอาหารของน้องหมาอ่อนแอ
     น้องหมาที่มีปัญหาสุขภาพ ระบบย่อยอาหารไม่แข็งแรง หรือมีภาวะที่ลำไส้ไม่สามารถย่อยและดูดซึมอาหารได้อย่างปกติ จะทำให้ร่างกายของพวกเขาย่อยอาหารได้น้อยกว่าน้องหมาตัวอื่น ซึ่งก็จะทำให้มีอาหารค้างอยู่ที่ลำไส้เยอะ ซึ่งก็จะทำให้เกิดอาการท้องอืด เกิดแก๊สในท้องได้ ทำให้น้องหมาตดออกมาบ่อย ๆ ... ถ้าน้องหมาของใครตดบ่อย ๆ แนะนำว่าให้ลองพาไปพบสัตวแพทย์ดูนะคะ เพราะน้องหมาอาจจะมีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารก็ได้ค่ะ
 >> น้องหมาอาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับลำไส้
     บางทีการที่น้องหมาตดบ่อย ๆ ก็อาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าน้องหมากำลังมีความผิดปกติในเรื่องของสุขภาพ  เช่น อาจกำลังเป็นโรคลำไส้อักเสบ ซึ่งทำให้มีแบคทีเรียเติบโตในลำไส้มากจนผิดปกติและผลิตแก๊สมากขึ้น หรือเนื้องอกในลำไส้ก็จะทำให้มีอาการคล้ายกันได้เช่นกัน รวมไปถึงโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ เช่น มีปรสิต ลำไส้อักเสบจากไวรัส หรือตับอ่อนทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็ทำให้ลำไส้มีแก๊สมาก ท้องอืด และตดบ่อยได้เหมือนกันค่ะ


Dogilike.com :: น้องหมาตดบ่อย! ... พฤติกรรมนี้บอกอะไรเราบ้าง

สัตว์เลี้ยงทำเงินในจีน

ปัจจุบัน 

    สัตว์เลี้ยงได้เข้ามามีบทบาทต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น เนื่องมาจากสภาพการดำเนินชีวิตของคนในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง มีขนาดครอบครัวที่เล็กลง ใช้ชีวิตในแบบสังคมเมืองมากขึ้น ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น และมีคนโสดเพิ่มขึ้น รวมถึงรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัตว์เลี้ยงจึงเข้ามามีบทบาทเสมือนเพื่อนใกล้ชิด ช่วยผ่อนคลายความเหงา คนในสังคมยินดีใช้จ่ายเงินเพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีความสุข  สุขภาพแข็งแรงและสวยงาม ดังนั้น อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจึงนับวันยิ่งมาแรงและมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว  มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงเกิดขึ้นมากมาย  ด้วยจำนวนประชากรและกำลังซื้อที่สูงของผู้บริโภคกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงชาวจีน จึงส่งผลให้อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในจีนเป็นเทรนด์ธุรกิจใหม่ที่ผู้ประกอบการทั้งชาวจีนและทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกันเป็นอย่างมาก
  
             
     

 ภาพรวมของจำนวนสัตว์เลี้ยงในจีนเติบโตต่อเนื่อง  

สัตว์เลี้ยงที่นิยมในกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงชาวจีน เรียงลำดับได้ ดังนี้ สุนัข แมว ปลา หนู เต่า และกระต่าย  จากสถิติพบว่า เมื่อปี 2551 จีนมีสัตว์เลี้ยงประมาณ 30 ล้านตัว (ส่วนใหญ่คือ สุนัขและแมว) ปี 2555  มีสัตว์เลี้ยงประมาณ 130 ล้านตัว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 323.3 ปี 2558 จำนวนสัตว์เลี้ยงในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 180 ล้านตัว เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.6 และเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา จำนวนสัตว์เลี้ยงในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 250 ล้านตัว โดยมีครอบครัวชาวจีนที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงประมาณ 59.12 ล้านครอบครัว
ตลาดของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง เติบโตอย่างก้าวกระโดด
จำนวนของสัตว์เลี้ยงในจีนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กอปรกับความรักและความผูกผันที่ยอมจ่ายเงินเพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีความสุข มีสุขภาพที่แข็งแรง ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้นตามไปด้วย เป็นหนึ่งในธุรกิจใหม่ที่ผู้ประกอบการเลือกลงทุนเพื่อเริ่มต้นกิจการ ปัจจุบัน มีธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเกิดขึ้นมากมาย เช่น โรงพยาบาล คลีนิก สปา อาบน้ำตัดขน โรงเรียนฝึกทักษะ สวนสนุก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง อาทิ อาหารสัตว์ เสื้อผ้า เครื่องประดับ และของเล่น เป็นต้น ทั้งนี้ กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงชาวจีนจะมีรายจ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงประมาณ 6,436 หยวนต่อปี หรือประมาณ 536 หยวนต่อเดือน       
จากสถิติ พบว่า ระหว่างปี 2555-2559 ตลาดของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในจีนมีพัฒนาการและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีดังกล่าวมีอัตราเฉลี่ยเติบโตที่ร้อยละ 37.94 ต่อปี ในปี 2559 อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง ในจีนสร้างรายได้มูลค่ากว่า 122,000 ล้านหยวน ขยายตัวร้อยละ 24.7 และในปี 2560 สร้างรายได้มูลค่าประมาณ 150,000 ล้านหยวน มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยเป็นรองเพียงสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ทั้งนี้  คาดว่าในช่วง 3-5 ปี ต่อจากนี้ ตลาดของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในจีนจะสามารถรักษาระดับการเติบโต ที่ประมาณร้อยละ 20 ต่อปี     
ขณะเดียวกัน ธุรกิจเพื่อสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มการพัฒนาและมีความทันสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการบริการที่มีคุณภาพและมีความแปลกใหม่ จากการที่ธุรกิจสัตว์เลี้ยงของจีนได้ศึกษาและสร้างความร่วมมือ  กับธุรกิจสัตว์เลี้ยงของต่างชาติ ทำให้เกิดนวัตกรรมการบริการ จากเดิมที่มีเพียง โรงพยาบาล คลีนิก และ
ร้านอาบน้ำตัดขน ขณะนี้มีการเกิดขึ้นของร้านตัดชุดสำหรับสัตว์เลี้ยง บริษัทจัดหาคู่สัตว์เลี้ยง บริษัทฌาปนกิจสัตว์เลี้ยง ตลอดจน การจัดกิจกรรมประกวดสัตว์เลี้ยง กิจกรรมกีฬา และกิจกรรมเข้าค่ายของคนรักสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ของสัตว์เลี้ยงก็มีคุณภาพและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการสั่งซื้อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยง ส่งผลให้อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงมีความครบวงจร เกิดเป็นห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ ซึ่งนับเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง และเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้บริโภคที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงเลือกสรรการบริการที่ดี ทันสมัย และสินค้า  แปลกใหม่ให้กับสัตว์เลี้ยงของตนเอง

10 อันดับ สายพันธุ์สุนัขยอดฮิตในเมืองไทย

10 อันดับ สายพันธุ์สุนัขยอดฮิตในเมืองไทย สายพันธุ์ สุนัข ยอดฮิตในไทย ก่อนจะไปทำความรู้จักกับ สุนัข สายพันธุ์ยอดฮิต เพื่อนๆ จ...